ขนาด CFM ของแวคคั่มบอกอะไร? และควรใช้กับงานไหน?

เมื่อพูดถึง Vacuum Pump หรือ "ปั๊มสูญญากาศ" ช่างหรือผู้ใช้งานหลายคนอาจคุ้นหูหรือเคยเห็นค่าหนึ่งที่เรียกว่า CFM ติดอยู่กับชื่อรุ่นของเครื่อง แต่สงสัยไหมว่า CFM คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? และควรเลือกใช้ขนาด CFM เท่าไหร่ถึงจะเหมาะกับงานที่คุณทำ?
ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ CFM ของ vacuum pump แบบเข้าใจง่าย พร้อมคำแนะนำในการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทงานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานติดตั้งแอร์ งานซ่อมบำรุง หรือแม้แต่งานอุตสาหกรรม
CFM คืออะไรในระบบ Vacuum Pump?
CFM ย่อมาจาก Cubic Feet per Minute เป็นหน่วยวัดปริมาณอากาศที่ปั๊มสูญญากาศสามารถดูดได้ในเวลา 1 นาที (หน่วยอังกฤษ) พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งค่า CFM สูง = ปั๊มดูดอากาศได้เร็ว
ตัวอย่าง
ปั๊มขนาด 5 CFM = ดูดอากาศออกจากระบบได้ 5 ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที
ปั๊มขนาด 10 CFM = ทำงานได้เร็วกว่าเกือบเท่าตัว
ความแตกต่างระหว่าง CFM กับ ค่า Micron
แม้ CFM จะบอกความเร็วในการดูดอากาศ แต่การดูด “ลึก” แค่ไหน จะดูจากค่า Micron ซึ่งเป็นหน่วยวัดระดับสูญญากาศ (ความดันต่ำ)
Micron ต่ำ = ดูดได้ลึก เช่น 500 Micron, 200 Micron
CFM สูง = ดูดอากาศได้เร็ว แต่ไม่ได้แปลว่าดูดลึกกว่า
การเลือกปั๊มจึงควรต้องพิจารณาทั้ง CFM และ Micron ควบคู่กันไป
CFM มีผลต่อการทำงานของปั๊มสูญญากาศอย่างไร?
เมื่อเลือกใช้งาน Vacuum Pump ปริมาณ CFM จะเป็นตัวบอกถึงประสิทธิภาพการดูดในด้านความเร็ว ซึ่งเหมาะกับงานที่มีขนาดต่างกัน ตั้งแต่งานบ้านจนถึงงานอุตสาหกรรม CFM เป็นปัจจัยหลักที่จะบอกได้ว่าเครื่องจะสามารถทำงานได้เร็วแค่ไหน และเหมาะกับปริมาตรระบบเท่าใด
ยิ่ง CFM สูง ยิ่งดูดไว จริงหรือ?
จริงในแง่ของ ปริมาณการไหลของอากาศ CFM สูงทำให้ดูดอากาศออกจากระบบได้ไวขึ้น เหมาะกับ
ระบบที่มี ปริมาตรภายในใหญ่
งานเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมที่มีเวลาจำกัด
CFM สูงไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป
สำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การล้างระบบแอร์บ้าน หรือซ่อมตู้เย็น เลือกใช้ปั๊มขนาด 2–4 CFM ก็เพียงพอแล้ว เพราะหากใช่ปั๊มที่มี CFM สูงเกินไปอาจเกิดข้อเสียตามมา เช่น ใช้พลังงานมากขึ้น, เครื่องใหญ่ น้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายยาก ไม่สะดวก รวมไปถึง เกิดเสียงดัง และต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น
ตารางเลือกขนาด CFM ของ Vacuum Pump ให้เหมาะกับงาน
ประเภทงาน | ปริมาณ CFM ที่แนะนำ |
แอร์บ้าน, ตู้เย็น | 2-4 CFM |
แอร์เชิงพาณิชย์ | 5-7 CFM |
งานอุตสาหกรรม | 8 CFM ขึ้นไป |
CFM vacuum pump สำหรับงานแอร์
สำหรับงานแอร์บ้านทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ CFM สูงเกิน 5 เนื่องจากระบบมีขนาดเล็ก เน้นความลึกของการดูด (Micron ต่ำ) มากกว่าปริมาณ จึงเหมาะสำหรับช่างแอร์บ้านหรือช่างซ่อมบำรุงทั่วไป ที่ต้องการความแม่นยำแต่ไม่เร่งรีบ
CFM vacuum pump สำหรับงานอุตสาหกรรม
งานอุตสาหกรรม เช่น freeze dryer, vacuum coating หรือ vacuum chamber เป็นงานที่มีระบบขนาดใหญ่ ต้องการการดูดอากาศทั้งเร็วและลึก จึงควรเลือกใช้เครื่องแบบ Dual Stage ที่มี CFM สูง ร่วมกับ Micron ต่ำ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน
สรุป
การเลือกขนาด CFM ให้เหมาะกับลักษณะงานเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยประหยัดพลังงาน ค่าใช้จ่าย และยังเพิ่มประสิทธิภาพของงานให้สูงสุด CFM คือค่าที่บอกปริมาณการดูดอากาศของปั๊มใน 1 นาที ยิ่ง CFM สูง จะดูดไวขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะดูดได้ลึก จึงควรดูคู่กับค่า Micron เพื่อให้เลือกเครื่องได้แม่นยำ อย่าเลือก CFM สูงเกินงาน เพราะจะเปลืองโดยใช่เหตุ หากคุณกำลังเลือกซื้อ Vacuum Pump การรู้จักและเข้าใจขนาด CFM จะช่วยให้คุณเลือกได้คุ้มค่า และเหมาะสมกับลักษณะงานมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CFM ของปั๊มแวคคั่ม (FAQ)
CFM กับ L/min ต่างกันอย่างไร?
CFM เป็นหน่วยอังกฤษ
L/min (ลิตรต่อนาที) เป็นหน่วยสากล
วิธีแปลง 1 CFM ≈ 28.3 L/min เช่น ปั๊ม 5 CFM = 141.5 L/min
ถ้าเลือก CFM สูงเกินความจำเป็น จะมีผลเสียไหม?
เสียงดังขึ้น
กินไฟมากขึ้น
เครื่องแพงเกินความจำเป็น
อายุการใช้งานอาจสั้นหากเปิดนานแบบไม่เหมาะกับภาระงาน
จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้ CFM เท่าไหร่?
ให้ดูที่ 2 ปัจจัยหลัก
1. ปริมาตรภายในของระบบ (เช่น ท่อน้ำยา, ถัง, ห้อง)
2. ความเร็วในการทำงานที่ต้องการ
ตัวอย่าง
- ล้างแอร์บ้าน ไม่ต้องเร่งรีบ → ใช้ 3 CFM ก็เพียงพอ
- โรงงานผลิตต้องดูดอากาศจากถังใหญ่ในเวลาอันสั้น ควรเลือกใช้ขนาด 10 CFM ขึ้นไป